
ในโลกธุรกิจครอบครัวทุกวันนี้ คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มมองหาแนวทางวางแผนอนาคต ทั้งเรื่องการเติบโตของกิจการ การบริหารความเสี่ยง และ การเตรียมผู้สืบทอดธุรกิจ อย่างเป็นระบบ แต่ในทางกลับกัน พบว่า “พ่อแม่” หรือ “ผู้ก่อตั้ง” ยังรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นหรือยังเร็วเกินไป
โดยบทความนี้จะพาคุณสำรวจสาเหตุเบื้องหลังความต่าง และเสนอแนวทางที่ช่วยให้คนทั้งสองรุ่นเดินหน้าไปด้วยกันได้ โดยไม่รู้สึกว่าต้อง “เสียสละ” หรือ “บังคับ” ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ความห่วงใยของพ่อแม่ vs. ความกังวลของลูก
ความแตกต่างด้านมุมมองระหว่างรุ่น มักไม่ได้เกิดจาก “ใครผิด” หรือ “ใครความแตกต่างด้านมุมมองระหว่างรุ่นไม่ได้เกิดจาก “ใครผิด” หรือ “ใครไม่เข้าใจ” แต่เกิดจากประสบการณ์และบทบาทที่ต่างกัน
- ฝั่งพ่อแม่ (ผู้ก่อตั้ง) มักมองจากประสบการณ์ที่สั่งสมมา และช่วงเวลาที่ต้องเอาตัวรอด ฝ่าฟันจนสร้างธุรกิจขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่า ทำให้ยึดถือ “ความมั่นคงแบบเดิม” และยังรู้สึกว่าไม่อยากเปลี่ยนสิ่งที่ยังใช้งานได้ดีอยู่
- ฝั่งลูก (รุ่นถัดไป) มักมองโลกจากจุดที่เปลี่ยนไปแล้ว เห็นความเสี่ยงที่มากขึ้น เห็นธุรกิจอื่นที่ไปไม่รอดเพราะไม่มีการเตรียมตัว และต้องการสร้างความมั่นคงแบบที่ “ระบบ” รองรับได้มากกว่าแค่ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล
การตัดสินใจเปลี่ยนแปลง เช่น การจัดทำแผนส่งต่อธุรกิจ การตั้งโครงสร้างบริษัทแบบ Holding หรือการทำธรรมนูญครอบครัว จึงอาจถูกมองต่างกัน
ทำไมพ่อแม่ถึง “ยังไม่พร้อมเปลี่ยน”?
การที่ผู้ก่อตั้งยังไม่เห็นด้วยกับการวางแผนอนาคต อาจมีเหตุผลที่ลึกซึ้งกว่าที่คิด เช่น
1. กลัวเสียการควบคุม
การจัดโครงสร้างใหม่ เช่น การแยกกรรมการผู้บริหาร หรือการตั้งระบบโหวต อาจทำให้พ่อแม่รู้สึกว่าตัวเองจะไม่ได้ “เป็นคนตัดสินใจคนสุดท้าย” อีกต่อไป ซึ่งในเชิงจิตวิทยา คือความรู้สึกไม่มั่นคง
2. กลัวความสัมพันธ์ในครอบครัวเปลี่ยน
การวางระบบหรือทำข้อตกลง อาจทำให้พ่อแม่รู้สึกว่า “ต้องคุยแบบธุรกิจ” กับลูกหลาน ซึ่งขัดกับความคาดหวังแบบครอบครัวที่มีความไว้ใจโดยไม่ต้องเป็นลายลักษณ์อักษร
3. รู้สึกว่ายังเร็วเกินไป
ผู้ก่อตั้งบางท่านยังมีกำลังทำงานได้ดี และรู้สึกว่ายังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องส่งต่อ ทั้งที่อีกฝ่ายแค่ต้องการ “เตรียมความพร้อม” ไม่ใช่ “เร่งให้เกษียณ”
4. ไม่มั่นใจในความพร้อมของลูก
แม้ลูกอาจมีความตั้งใจดี แต่ผู้ก่อตั้งอาจยังรู้สึกว่า “ยังไม่ถึงเวลา” เพราะมองว่าลูกยังไม่มีประสบการณ์หรือยังไม่แสดงให้เห็นว่าเข้าใจธุรกิจในระดับที่ดีพอ
แล้วฝั่งลูกควรเริ่มต้นอย่างไร?
1. อย่าเริ่มด้วย “ความเร่งรีบ” แต่เริ่มด้วย “ความเข้าใจ”
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ดี ไม่ใช่การเสนอแผนธุรกิจ 50 หน้า แต่คือการรับฟังเหตุผลของอีกฝ่ายอย่างเปิดใจ แล้วค่อย ๆ เสนอเหตุผลของตัวเองว่า “ทำไมการวางแผนวันนี้ ถึงสำคัญกับอนาคตของทุกคน”
2. เลือกใช้คำอธิบายที่ไม่สร้างแรงต้าน
หลีกเลี่ยงคำพูดที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าถูกลดบทบาท เช่น “พ่อแม่ต้องวางมือได้แล้ว” หรือ “เราจะรับช่วงต่อเอง” แต่ใช้ถ้อยคำที่เน้นความร่วมมือ เช่น
“ลองออกแบบอนาคตร่วมกันไหมครับ/คะ?”
“อยากเข้าใจโครงสร้างที่มีอยู่ให้มากขึ้น จะได้ช่วยดูแลในระยะยาว”
3. ยกตัวอย่างธุรกิจอื่นที่น่าเชื่อถือ
พ่อแม่หลายคนจะเปิดใจมากขึ้น หากเห็นว่ามีตัวอย่างที่ชัดเจนว่าธุรกิจอื่นวางแผนล่วงหน้าอย่างไร และได้ประโยชน์อะไรบ้าง การยกเคสของบริษัทที่พวกเขารู้จัก หรือเคยร่วมธุรกิจด้วย อาจทำให้พวกเขาเห็นภาพและรู้สึกว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือความจำเป็น”
การวางแผนอนาคต ไม่ใช่การแย่งอำนาจ แต่คือการออกแบบอนาคตร่วมกัน
ในหลายครอบครัว เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนผ่านรุ่น หรือการวางแผนอนาคตของธุรกิจ มักเกิดความกังวลว่า “ใครจะเป็นคนคุมธุรกิจต่อ” หรือ “ใครจะต้องวางมือ” ซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียดโดยไม่จำเป็น ทั้งที่ความจริงแล้ว แก่นของในหลายครอบครัว เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนผ่านรุ่น หรือการวางแผนอนาคตของธุรกิจ มักเกิดความกังวลว่า “ใครจะเป็นคนคุมธุรกิจต่อ” หรือ “ใครจะต้องวางมือ” ซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียด แต่ความจริงแล้ว แก่นของการวางแผนอนาคตที่ดีไม่ใช่เรื่องของการโอนอำนาจหรือการตัดบทใคร แต่คือการ ออกแบบบทบาทใหม่ ที่ทำให้สมาชิกแต่ละคนได้เติมเต็มคุณค่าของตัวเองในช่วงเวลาที่เหมาะสม
การออกแบบ “พื้นที่ร่วม” ที่ไม่มีใครต้องถอย
สิ่งสำคัญคือการวางกระบวนการพูดคุยและการเปลี่ยนผ่านที่ได้เห็นคุณค่าของกันและกันในรูปแบบใหม่ เช่น:
▸การจัดทำ Family Constitution ที่ยึด “คุณค่าร่วม” เป็นหัวใจ
ธรรมนูญครอบครัวไม่ใช่เอกสารที่เอาไว้ “ควบคุม” ลูกหลานหรือผู้สืบทอด แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ทุกคนเข้าใจตรงกันว่า:
- วิสัยทัศน์ของครอบครัวคืออะไร
- ธุรกิจนี้เกิดขึ้นเพื่อเป้าหมายใด
- คุณค่าใดที่เราอยากรักษาไว้ขณะส่งต่อ
เมื่อทุกคนเห็นจุดร่วมตรงนี้ การสื่อสารเรื่องการแบ่งบทบาท หรือแม้แต่เงื่อนไขการส่งต่อ ก็จะไม่ใช่เรื่องอ่อนไหวอีกต่อไป
▸การประชุมครอบครัวในบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ
การเปลี่ยนรูปแบบการพูดคุย จากการ “ประชุมทางการ” เป็น “วงคุยที่ทุกคนสบายใจ” เช่น นัดกินข้าวพร้อมกันในวันหยุด แล้วแลกเปลี่ยนความคาดหวังหรือไอเดียของแต่ละรุ่น ก็สามารถสร้างความเข้าใจใหม่ ๆ ได้มากกว่าการประชุมทางการ
หัวใจคือ การตั้งคำถามมากกว่าการบอกกล่าว เช่น
- พ่อแม่อยากเห็นอะไรในอีก 5 ปีข้างหน้า
- ลูก ๆ อยากมีบทบาทในจุดไหนบ้าง
- มีอะไรบ้างที่ทุกคนอยากเห็น “ธุรกิจของครอบครัว” เปลี่ยนแปลงหรือรักษาไว้
▸ การตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจแบบข้ามรุ่น
ในหลายกรณี การตั้งทีมเล็ก ๆ ที่ประกอบด้วยคนรุ่นพ่อแม่ รุ่นลูก และบางครั้งอาจรวมถึงที่ปรึกษาภายนอก เพื่อช่วยกันออกแบบ “แผนเปลี่ยนผ่าน” จะช่วยลดแรงต้านและเพิ่มความร่วมมือได้อย่างมาก โดยเฉพาะหากมีการกำหนดกรอบชัดเจนว่า:
- จุดประสงค์ของคณะกรรมการนี้คือเพื่อ เตรียมเพื่ออนาคต ไม่ใช่การเปลี่ยนทันที
- การตัดสินใจจะอยู่บนพื้นฐานของ ข้อมูลและความยินยอมร่วม
- ทุกเสียงมีน้ำหนัก และไม่มีใครถูกบังคับให้ออกจากระบบ
การมีกระบวนการร่วมเช่นนี้ จะทำให้ความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่เป็นสิ่งที่ครอบครัว “มีส่วนร่วมและออกแบบด้วยกัน” ทีละก้าว
เพราะสิ่งที่ต้องเปลี่ยน ไม่ใช่แค่ “ธุรกิจ” แต่คือ “ความสัมพันธ์ในครอบครัว”
ในโลกธุรกิจการวางแผนจะมีกรอบชัดเจน แต่ในโลกของครอบครัวจะต้องอาศัยความละเอียดอ่อน ความเข้าใจ และการให้พื้นที่ซึ่งกันและกันซึ่งผู้ก่อตั้งไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกอย่างทันที และรุ่นลูกไม่จำเป็นต้องได้ทุกอย่างตามใจ แต่ถ้าทั้งสองรุ่นเห็นตรงกันว่า “เราจะร่วมกันออกแบบอนาคตที่ยั่งยืน”
บทสนทนาเรื่องโครงสร้าง แผนส่งต่อ หรือการกระจายบทบาท ก็จะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป
สรุป: เริ่มต้นจาก “ความเข้าใจ” แล้วสร้าง “ระบบที่ทุกคนไว้ใจได้”
ความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัว ไม่ได้วัดจากกำไรหรือจำนวนกิจการที่แตกออกเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ความเชื่อมั่นในวิธีคิดของกันและกัน และความสามารถในการปรับตัวร่วมกันในวันที่มุมมองไม่ตรงกัน
ในหลายครอบครัว คนรุ่นใหม่มองเห็นโอกาสและความจำเป็นในการวางแผนอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการขยายธุรกิจ ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง หรือตั้งระบบสืบทอดที่ชัดเจน ขณะที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในบ้านอาจยังรู้สึกไม่มั่นใจ ยังผูกพันกับวิธีเดิม หรือยังไม่เห็นถึงความเร่งด่วนของการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนผ่านจึงไม่ใช่เรื่องของ “การบังคับ” หรือ “การยอมตาม” หากแต่เป็นการ “ออกแบบพื้นที่ร่วม” ที่ทุกเสียงมีความหมาย และทุกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองมีบทบาทในอนาคตของกิจการนี้
เริ่มจากการเปิดใจพูดคุยในบรรยากาศที่ปลอดภัย ใช้คำถามนำทางมากกว่าการตัดสิน ให้เวลาในการปรับตัว และที่สำคัญคือ สร้าง “ระบบ” ที่ทำให้ทุกฝ่ายไว้วางใจ เช่น การตั้งกติกากลาง โครงสร้างองค์กรที่โปร่งใส และแผนการสื่อสารภายในที่สม่ำเสมอเมื่อเราหยิบยื่นความเข้าใจ แทนความคาดหวัง และสร้างกลไกร่วม แทนการบังคับให้เปลี่ยนธุรกิจครอบครัวจะไม่เพียงแค่ส่งต่อ แต่จะ “เติบโตร่วมกัน” อย่างมั่นคงและสง่างาม
วางระบบให้พร้อม ก่อนความขัดแย้งมาถึง
หากคุณเริ่มมองเห็นความต่างระหว่างรุ่น หรืออยากวางแผนให้ธุรกิจครอบครัวมีอนาคตที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการส่งต่อกิจการ การจัดการหุ้นส่วน การแบ่งบทบาท หรือการจัดสรรผลตอบแทนให้เป็นธรรม
Idol Planner พร้อมช่วยคุณออกแบบโครงสร้างที่ตอบโจทย์ครอบครัวของคุณโดยเฉพาะ
- การจัดทำ ธรรมนูญครอบครัว ที่เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของแต่ละบ้าน
- การประชุมเชิงกลยุทธ์ระหว่างรุ่น เพื่อวางแนวทางการเปลี่ยนผ่านอย่างปลอดภัย
- การออกแบบโครงสร้างธุรกิจหรือ Holding Company เพื่อรองรับอนาคต
บทความแนะนำ
- เลือกผู้นำในหมู่พี่น้อง ปัจจัยสำคัญในการสร้างความชัดเจนและความเชื่อมั่นให้ธุรกิจ
- อยากให้ธุรกิจส่งต่อได้ แต่ไม่ต้อง ‘ยกทั้งชีวิต’ ให้ลูก Holding Company คือคำตอบ
- ทำไมธุรกิจถึงรอด แต่ครอบครัวถึงพัง? คำตอบอยู่ที่ธรรมนูญครอบครัว
————
สำหรับท่านที่ต้องการสอบถามหรือรับคำปรึกษาเบื้องต้น
สามารถกรอกรายละเอียดได้ที่ฟอร์มแนบ
https://forms.gle/YMvaxRmnpqiNUGdVA
หรือติดต่อตามช่องทางที่ปรากฎไว้ดังนี้
Line : @idolplanner
Tel : 02-010-8823