
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “ภาษีมรดก” กลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงบ่อยขึ้น โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีทรัพย์สินหลายประเภท แต่ท่ามกลางความกังวล คำถามหนึ่งกลับยังคงดังขึ้นซ้ำ ๆ คือ “ภาษีมรดกจริง ๆ แล้วต้องกลัวแค่ไหน?”
ในความเป็นจริง ภาษีมรดก ไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของครอบครัวที่มีทรัพย์สิน ปัญหาที่แท้จริงคือ “การไม่มีระบบรองรับตั้งแต่วันนี้”
ถ้าครอบครัววางระบบตั้งแต่ตอนที่ทุกอย่างสงบเรียบร้อย ภาษีมรดกจะเป็นเพียงขั้นตอนตามกฎหมาย ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย
ภาษีมรดกคืออะไร และทำไมหลายครอบครัวจึงกังวล?
ภาษีมรดกในไทยจัดเก็บเมื่อมี “การได้รับทรัพย์สินจากการเสียชีวิตของผู้ให้” ไม่ว่าจะเป็น
- เงินฝาก
- หุ้น
- ที่ดิน บ้าน อาคาร
- รถยนต์
- และทรัพย์สินอื่น ๆ
โดยผู้รับมรดกจะได้รับยกเว้น 20 ล้านบาทแรก และจะเสียภาษีเฉพาะส่วนที่ “เกินจาก 20 ล้านบาท”
อัตราภาษีอยู่ที่
- 10% สำหรับบุคคลทั่วไป
- 5% สำหรับทายาทโดยธรรม (ลูก พ่อแม่ ฯลฯ)
แม้จะดูตรงไปตรงมา แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าของธุรกิจวิตกไม่ใช่ตัวภาษี แต่คือ “สภาพคล่อง” ที่ต้องใช้เพื่อจ่ายภาษีมรดก และ “การโอนทรัพย์สินทั้งหมด” ที่มาพร้อมขั้นตอนทางกฎหมาย
หลายครอบครัวพบว่า ทรัพย์สินมีจำนวนมาก แต่เงินสดสำหรับจ่ายภาษีกลับไม่มี ทำให้ลูกหลานต้องขายทรัพย์สินทิ้งในราคาถูก หรือแย่กว่านั้นคือ เกิดความขัดแย้งเพราะต้องช่วยกันออกเงิน
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของใคร แต่เกิดจาก “ไม่ได้วางระบบตั้งแต่ตอนที่ยังพร้อมวาง”
ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดของครอบครัวที่ไม่มีระบบมรดก
- ทรัพย์สินกระจายอยู่หลายชื่อ แต่ไม่มีโครงสร้างกลาง
ทำให้จัดการยากมากเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน - ไม่รู้ว่ามีทรัพย์สินทั้งหมดเท่าไหร่และอยู่ที่ใคร
ไม่ใช่เพราะปิดบัง แต่เพราะไม่เคยจัดเก็บเป็นฐานข้อมูล - ขาดสภาพคล่องสำหรับจ่ายภาษี
ทำให้ต้องขายทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางใจ - ลูกหลานไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้างหลังการจากไป
ขั้นตอนกฎหมายหลายอย่างต้องทำภายในเวลาที่จำกัด - เกิดความขัดแย้งระหว่างพี่น้อง
เพราะแต่ละคนมีความเข้าใจไม่ตรงกันตั้งแต่แรก
ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดเพราะภาษีมรดก แต่เกิดเพราะ “ไม่มีการวางแผนมรดก”
ภาษีมรดก = เรื่องของ “ระบบ” ไม่ใช่ “เงิน”
หลายครอบครัวพยายามคิดว่า “จะหลีกเลี่ยงภาษีได้อย่างไร” แต่ในโลกธุรกิจที่โปร่งใสและตรวจสอบง่ายขึ้นทุกวัน
แนวคิดที่ดีกว่าคือ “จะวางระบบอย่างไรให้ภาษีมรดกไม่กระทบครอบครัวและธุรกิจ”
ระบบนี้สามารถเริ่มจาก 3 สิ่งหลัก
- ความชัดเจน (Clear Structure)
- ความพร้อมของสภาพคล่อง (Liquidity Planning)
- เอกสารและกติกาครอบครัว (Family Governance & Agreements)
ขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ภาษีมรดกไม่ใช่ปัญหาใหญ่
1. ทำ “แผนที่ทรัพย์สิน” ของครอบครัว (Family Asset Mapping)
จุดเริ่มต้นคือการรวบรวมและจัดหมวดหมู่ทรัพย์สินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น
- ทรัพย์สินส่วนตัว
- ทรัพย์สินเพื่อการลงทุน
- ทรัพย์สินในนามบริษัท
- ทรัพย์สินร่วม
หลายครอบครัวที่ทำขั้นตอนนี้ครั้งแรกมักตกใจว่า “ครอบครัวเรามีเยอะกว่าที่คิด แต่กระจัดกระจายมากกว่าที่คิด”
เมื่อเห็นภาพรวม จึงสามารถวางแผนมรดกได้แบบมีเหตุผล
2. แยกทรัพย์สินที่ “ขายง่าย” กับ “ขายไม่ได้”
เพราะทรัพย์สินแต่ละแบบมีสภาพคล่องแตกต่างกัน
- บ้าน ที่ดิน มูลค่าสูง แต่ขายยากและใช้เวลานาน
- หุ้นบริษัทที่ยังไม่ขายกิจการ ขายไม่ได้
- เงินสดและกองทุน ขายง่ายและแปลงเป็นเงินได้ทันที
ระบบที่ดีต้องคำนึงถึงว่า “เราจะหาสภาพคล่องจากไหน เพื่อจ่ายภาษีเมื่อถึงเวลา”
3) เตรียม “บุคคลหรือโครงสร้าง” ที่จะถือครองแทนในอนาคต
หนึ่งในข้อผิดพลาดใหญ่คือการให้ทรัพย์สินอยู่ในชื่อบุคคลทั้งหมด เพราะเมื่อบุคคลนั้นเสียชีวิต ทุกอย่างจะหยุดทันที
แนวทางที่ปลอดภัยกว่า เช่น
- ให้ Holding Company ถือหุ้นทั้งหมด
- ตั้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพื่อถือครองบ้าน/ที่ดิน
- ตั้งบริษัทลงทุนเพื่อบริหารเงินและพอร์ต
- ใช้ Private Fund หรือ Investment Company ช่วยจัดการ
ปลายทางคือ “ไม่ใช่ทุกทรัพย์สินต้องตกอยู่ในชื่อบุคคล”
4. สร้างสภาพคล่องล่วงหน้าสำหรับวันที่ต้องจ่ายภาษี
มีหลายวิธี เช่น
- กรมธรรม์ชีวิตสำหรับผู้ถือทรัพย์สินมูลค่าสูง
- กองทุนที่ออกแบบเพื่อใช้จ่ายในเหตุฉุกเฉิน
- อนุญาตให้บริษัทในเครือชำระเงินคืนให้ครอบครัวผ่าน Dividend Planning
- การจัดสัดส่วนเงินสดในพอร์ตให้เพียงพอ
เป้าหมายคือ “ไม่ต้องขายทรัพย์สินชิ้นสำคัญเพียงแค่จะจ่ายภาษี”
5. มีเอกสารมรดกที่ชัดเจน (Will, Trust-like Structure, Shareholder Agreements)
เอกสารเหล่านี้ช่วยให้
- ลดความสับสน
- ลดความขัดแย้ง
- ลดขั้นตอนกฎหมาย
- ลดเวลาการจัดการหลังการเสียชีวิต
หลายครอบครัวที่จัดระบบนี้ไว้พบว่า การส่งต่อทรัพย์สินเป็นเพียงกระบวนการธรรมชาติ ไม่ใช่ความวุ่นวายทางอารมณ์
6. ทำให้ทุกคนในครอบครัว “เข้าใจระบบเดียวกัน”
นี่คือหัวใจจริงของการวางแผนมรดก เพราะระบบที่สวยงามไม่มีความหมาย ถ้าคนในครอบครัวไม่รู้วิธีใช้ ไม่เข้าใจ หรือไม่ยอมรับ
สิ่งสำคัญคือ
- สื่อสารด้วยภาษาที่ทุกคนเข้าใจ
- ไม่พูดเฉพาะเรื่องตัวเลข แต่พูดถึงเจตนารมณ์
- ให้รุ่นต่อไปมีส่วนร่วมตั้งแต่ตอนที่ทุกอย่างยังสงบ
ตัวอย่างครอบครัวที่ทำระบบไว้ก่อน ทำให้ราบรื่นสบายใจ
ครอบครัวหนึ่งมีทรัพย์สินหลักเป็นบ้านและที่ดินรวมมูลค่า 80 ล้านบาท ก่อนผู้ก่อตั้งเสียชีวิต ได้วางระบบไว้ดังนี้
- โอนทรัพย์สินไปอยู่ในบริษัทครอบครัว เพื่อไม่ต้องทำชื่อใหม่ทุกครั้ง
- ทำพินัยกรรมกำหนดสัดส่วนหุ้น
- จัดสภาพคล่องไว้ 5 ล้านบาทในกองทุนเพื่อตั้งรับภาษี
- แจ้งลูกหลานทุกคนถึงเจตนารมณ์
ผลลัพธ์คือ การโอนที่ดินและบ้านเป็นเพียงการโอนหุ้นในบริษัท ไม่มีภาษี และไม่มีความขัดแย้ง ลูกหลานทุกคนยังคงรักกัน และทรัพย์สินยังอยู่ครบ
ตัวอย่างครอบครัวที่ไม่มีระบบแม้มีทรัพย์สินมาก
มีหลายกรณีที่มูลค่ามรดกสูงกว่า 200–300 ล้านบาท แต่เพราะไม่มีระบบรองรับ
- เอกสารไม่ครบ
- สภาพคล่องไม่มี
- ลูกหลานไม่รู้สัดส่วนการถือครอง
- ไม่รู้ว่าทรัพย์สินอยู่ที่ใคร
สุดท้ายต้องขายทรัพย์สินบางส่วนเพื่อนำเงินมาจ่ายภาษี และความสัมพันธ์ในครอบครัวก็เสียหายแบบกู้กลับได้ยาก
ภาษีมรดกไม่ใช่ศัตรู แต่ความไม่พร้อมต่างหากคือศัตรู
ภาษีมรดกไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือการ “รอจนถึงวันที่ไม่เหลือเวลาให้วางแผน” เพราะสุดท้าย ระบบที่ดีไม่ใช่แค่ทำให้ทรัพย์สินปลอดภัย แต่ทำให้ครอบครัวปลอดภัยจากความไม่เข้าใจ และปลอดภัยจากความขัดแย้ง
การวางแผนมรดกจึงไม่ใช่เรื่องของการจัดการทรัพย์สิน แต่คือการจัดการ “ความสงบของครอบครัวในวันที่เรา
มองไม่เห็น”
การวางแผนมรดกไม่ใช่การคาดเดาวันข้างหน้า แต่คือการเตรียมความพร้อมให้ครอบครัวเดินต่อได้อย่างมั่นใจ
หากคุณกำลังมองหาวิธีจัดโครงสร้างมรดก ระบบสภาพคล่อง และเอกสารสำคัญให้ครบถ้วน
Idol Planner ยินดีเป็นเพื่อนร่วมคิดและร่วมออกแบบระบบที่เหมาะ กับทรัพย์สินและเจตนารมณ์ของครอบครัวคุณ
บทความแนะนำ
- รู้จัก ภาษีมรดก ก้อนใหญ่ ที่สุดในโลก พร้อมแนวทางป้องกัน
- อสังหาริมทรัพย์ ใช้ชื่อใครถือดีที่สุด
- พินัยกรรมที่ดี ควรช่วยลดปัญหา ไม่ใช่เพิ่มคดีความ
สำหรับท่านที่ต้องการสอบถามหรือรับคำปรึกษาเบื้องต้น
สามารถกรอกรายละเอียดได้ที่ฟอร์มแนบ
https://forms.gle/YMvaxRmnpqiNUGdVA
หรือติดต่อตามช่องทางที่ปรากฎไว้ดังนี้
Line : @idolplanner
Tel : 085-155-0554



